ได้ถึงเวลา “แก้ไขวงโคจร” การเปลี่ยนทิศทางที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์
ความคิด “เห็นแก่ตัว” ที่คนดำรงชีวิตในยุคปัจจุบันยึดติด ────
คุณได้ปล่อยตัวเองจากเวทมนต์นั้นหรือไม่
โลก ดาวดวงที่สร้างขึ้นมาจากเอกฉันท์ของจักรวาล
พวกเราดำรงชีวิตในจักรวาล
ในจักรวาลนี้ ทุกอย่างล่ามโซ่กัน หมุนเวียนกัน และกลมกลืนกันอยู่ ดวงดาวหลากหลายที่ล่องลอยบนจักรวาลกว้างใหญ่ แต่ละดวงมีบุคลิกภาพเฉพาะไม่เหมือนดวงอื่นๆ ดวงดาวที่มีความหลากหลายได้สนทนากัน ทำให้สมดุลกันดีเลิศในพื้นที่กว้างใหญ่ ทั้งหมดนี้ล่ามโซ่กันเหมือนเล่นดงตรีซิมโฟนีเพลงเดียวกัน และทำให้เกิดความกลมกลืนที่งดงาม
โลกที่พวกเราดำรงชีวิตได้สร้างขึ้นมาจากเอกฉันท์ของจักรวาล
โลกใบนี้เป็นแบบจำลองของจักรวาล ไฟ น้ำ ดิน ลม อากาศ แร่ธาตุ จุลินทรีย์ พืช และสัตว์ ส่วนประกอบของธรรมชาติหลากหลายมีหน้าที่ต่างกัน แต่ละอย่างรับผิดชอบบทบาทของตัวเองที่ทดแทนกันไม่ได้ เชื่อมต่อกัน ล่ามโซ่กัน และหมุนเวียนกันอย่างไม่สิ้นสุด และสร้างโลกที่มีชีวิตอุดมสมบูรณ์ ที่เรียกว่า ระบบนิเวศโลก เวลาวิวัฒนาการ ผ่านไป 138 ร้อยล้านปี ตั้งแต่กาแล็กซีที่พวกเราอยู่เกิด และ 46 ร้อยล้านปี ตั้งแต่โลกเกิด โลกได้เป็นดาวดวงที่มีชีวิตอย่างมากมายที่หายากในจักรวาล
สิ้นสุดของวิวัฒนาการอย่างชั่วนิรันดร์ มนุษย์เกิดมาเป็นพันธุ์หนึ่งของสิ่งมีชีวิตหลายล้านพันธุ์
สมัยโบราณนานมาแล้ว มนุษย์ ได้รับคำสั่งจากดวงดาวต่างๆ และสนทนากับธรรมชาติ ดำรงชีวิตในการหมุนเวียนของระบบนิเวศกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หลากหลายชีวิต คนสมัยก่อนรู้ว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลกว้างใหญ่ ได้รับและดำรงชีวิตอยู่หมุนเวียนกัน แต่ชีวิตที่ได้ออกมาตอนสุดท้ายเป็นเรื่องราวของวิวัฒนาการ ได้วิวัฒน์อย่างรวดเร็วไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ แล้วได้ส่งผลกระทบมากกับระบบนิเวศของดวงนี้ที่หมุนเวียนเรื่อยๆ อย่างงดงามตามกลไกของจักรวาล
ความหายนะ เป็นข้อความกระตุ้นเราตื่นตัวขึ้นมา
มนุษย์มีความแตกต่างใหญ่กับสิ่งมีชีวิตตัวอื่น สิ่งนั้นคืออัตตาที่ชัดมาก
ดวงดาวที่มีความหลากหลาย “โลก” มีสิ่งมีชีวิตที่มีบุคลิกภาพเฉพาะของมันเยอะแยะมากมาย สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่ละตัวที่เป็นพันธุ์เดียวกันไม่ค่อยมีความแตกต่าง สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวเหมือนจะดำรงชีวิตตามเป้าหมายของตัวเอง แต่โดยพื้นฐานก็ทำหน้าที่ของพันธุ์เอง ไม่หลุดออกจากการหมุนเวียนของระบบนิเวศโลกที่ชีวิตเราทำให้ชีวิตตัวอื่นได้อยู่ต่อแบบต่อเนื่องกัน และดำรงชีวิตจนสิ้นสุด แต่มนุษย์แต่ละคน พันธุ์เดียวกันแต่มีบุคลิกภาพเฉพาะที่ไม่เหมือนคนอื่น เริ่มคิดแยกตัวเองกับคนอื่นเพราะมีความแตกต่าง แล้วรับรู้ความเป็นอยู่ของ “ตัวเอง” เป็นพิเศษ ลืมเลยว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่กว้างใหญ่ และให้มีความสำคัญกับการทำให้เป้าหมายของตัวเองเป็นจริงมากกว่าทำหน้าที่ของพันธุ์
มนุษย์มีจินตนาการสูงซึ่งสิ่งมีชีวิตตัวอื่นๆ ไม่มี ใช้ความสามารถนั้น ได้ทำให้ความอยากของตัวเองเป็นจริง ได้บรรลุความคาดหวังแล้วทำให้ความอยากใหญ่ขึ้น อัตตาก็ใหญ่ขึ้น มนุษย์ลืมความเป็นอยู่ของดวงดาว ลืมสนทนากับธรรมชาติ ไม่สนใจความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตตัวอื่นหลายๆตัว และขยายโลกสังเคราะห์ที่มนุษย์เองสะดวกโดยไม่รู้ตัว
โลกที่มนุษย์ปัจจุบันสร้างขึ้นมาเป็นเชิงลบมาก วางตัวเองเป็นพื้นฐานของทุกอย่าง มองจากนั้นแล้วเจอสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบหรือไม่เหมาะก็ตัดสินเป็นสิ่งแปลกปลอม และปฏิเสธ เหยียด หรือต่อสู้เป็นศัตรู ถึงแม้กิจกรรมรักษาสิ่งแวดล้อมหรือสันติภาพก็ได้ดำเนินโดยการปฏิเสธและการต่อต้านผู้อื่น ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์ของตัวเอง บุคคล ประเทศ หรือธรรมชาติก็ได้เป็นเป้าหมายที่จะปฏิเสธมัน และสุดท้ายก็เป็นเป้าหมายที่จะทำลาย
ในอีกแง่หนึ่ง โลกใบนี้ที่ครอบคลุมมนุษย์แบบก่อน ได้บรรจุชีวิตหลากหลายในโลกโดยไม่มีใครโดนปฏิเสธ ใช้ระบบที่แต่ละชีวิตได้ดำรงอยู่โดยมีบทบาทที่เหมาะสมกับตัวเขาเอง ถ้าหากมนุษย์มีมุมมองจากนอกโลก จะได้รู้ว่าโลกคือสถานที่แชร์ทุกสิ่งทุกอย่าง และได้อยู่ในโลกที่ช่วยเหลือกันที่อยู่ในระบบแชร์นั้น แล้วจะได้รู้ว่าการดำรงชีวิตของมนุษย์แปลกและตลกแค่ไหน ในโลกใบนี้ มนุษย์เรียกร้องแต่เรื่องตัวเอง ไม่คิดถึงสิ่งรอบข้าง ได้รับความสามารถที่สูงสุด กว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่ทำลายสิ่งแวดล้อมและชีวิตอื่นๆ และฆ่ากันกับมนุษย์ด้วยกันโดยใช้ความสามารถนั้น สิ่งนั้นคือไม่เหมาะกับความเป็นมาของโลกใบนี้เลย ทำลายระบบนิเวศทั้งหมด จริงๆ ควรกำจัดสิ่งมีชีวิตแบบนั้น
ปัจจุบัน โลกก็เริ่มเตรียมการกำจัดนั้นแล้ว มองกลับไปประวัติศาสตร์ของโลก 6 ร้อยล้านปีที่ผ่านมา มีการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ 6 ครั้ง เหมือนครั้งที่ผ่านมา โลกเริ่มมีความหายนะหลายๆแบบ เพื่อจะไปก้าวต่อไป ถ้าได้ยินคำว่า “การสูญพันธุ์” มนุษย์ที่ติดกับตัวเอง คงจะกลัวที่สิ่งที่มีอยู่ปัจจุบันจะสูญหายไป แต่สิ่งนั้นคือแค่การเผาผลาญ เพื่อโลกจะแข็งแรงขึ้น สำหรับจักรวาลก็เป็นกิจกรรมปกติมาก ตอนนี้มีพฤติกรรมแบบนั้นเริ่มมีแล้ว แต่มนุษย์แก้ไขวิกฤตเพียงผิวเผิน ทำให้มีความขัดแย้งหลายๆชั้นบนโลกและทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะมนุษย์มีความสามารถสูง
สิ่งที่ระบบทุนนิยมที่ควรทำให้อุดมสมบูรณ์ให้มา
ถ้าโลกสร้างขึ้นมาจากเอกฉันท์ของจักรวาล มีเจตจำนงของจักรวาลที่สร้างโลกแน่นอน ถ้าอย่างนั้น ทำไมจักรวาลสร้างสิ่งมีชีวิตที่โง่และประหลาดบนดวงดาวนี้
สาเหตุใหญ่ที่ทำให้มนุษย์เป็นเชิงลบเหมือนปัจจุบัน คือ ระบบทุนนิยม เมื่อก่อนความสมบูรณ์ คือ สิ่งที่ธรรมชาติให้มา มนุษย์มีหน้าที่รับสิ่งนั้นและสรรเสริญกับธรรมชาติ แต่กับการพัฒนาของระบบทุนนิยม ความสมบูรณ์กลายเป็นสิ่งที่แข่งขันกับคนอื่นและเมื่อชนะแล้วได้เอาชัยชนะแล้ว มาทำให้ตนพอใจ ได้มีความสุขไหมก็ไม่เลย พอใจแล้วก็จะพยายามรักษาสิ่งที่ทำให้พอใจอยู่กับตัวเองให้ได้ แล้วเพิ่มอัตตาที่จะ “อยากมีความพอใจมากกว่านี้” ต้องสนองอัตตาให้ได้ตลอดเพราะไม่ได้ตอบรับอัตตาก็ไม่มีความสุข แล้วก็จะมีผู้แพ้แข่งขัน อีกส่วนผู้ชนะได้มีความเหนือกว่าสักพัก แต่ถ้าชินกับความเหนือกว่านั้น ต่อไปก็จะมีความกังวลกลัวจะแพ้เลย “ต้องชนะตลอด”
คนที่อยู่ข้างหน้าสุดของสังคมแบบนั้น ปฏิเสธธรรมชาติและขยายโลกสังเคราะห์ ถือว่าคนฉลาด สังคมทั้งหมดเหมือนอยู่ในสถานการณ์ติดยาเสพติด แต่ยังขยายโลกสังเคราะห์โดยใช้ค่านิยมเดียวกัน และมุมสู่ทางที่ไม่มองเห็นข้างหน้า คนฉลาดก็มัวแต่ภูมิใจกับความฉลาดสังเคราะห์ของตัวเองและมองไม่เห็นสิ่งอื่น คนเหล่านี้เข้าใจผิดอย่างแรงว่าอิสระและความสมบูรณ์ คือ การทำให้ความคาดหวังของตัวเองเป็นจริง เพื่อควบคุมคนที่มีแต่ความอยากและไม่มีกฎก็เข้ากันไม่ได้ รัฐบาลออกกฎและบังคับทุกคน แต่คนก็เข้าใจผิดความเป็นอิสระ ซึ่งเขาคิดว่าทำอะไรก็ได้ถ้าไม่ผิดกฎ ผลที่ได้รับของการสะสมการปฏิบัติของคนแบบนั้น ตอนนี้โลกเต็มไปด้วยปัญหา คนปัจจุบันที่เชื่อแต่วิทยาศาสตร์ ได้แบ่งรายละเอียดเรื่องต่างๆ และวิเคราะห์แต่ละเรื่องอย่างดีได้ แต่ไม่มีความสามารถที่จะเชื่อมต่อแต่ละเรื่องได้ ไม่มองอย่างครอบคลุมและรับรู้ความเป็นมา ก็เลยไม่เข้าใจสาเหตุหลักของปัญหา และไม่รู้วิธีการแก้ไขต้นเหตุ สื่อมวลชนพุ่งความสนใจไปที่พื้นผิวของปัญหาอย่างมาก ทั้งนักการเมืองและประชาชนทั่วไปก็ตั้งใจวิจารณ์คนอื่น แต่ไม่มีใครมีความคิดที่จะร่วมมือกันเพื่อสร้างโลกที่มีสติปัญญา
อันนี้ก็ผลงานของมนุษย์ที่ลืมเลยว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่รวมอยู่ในธรรมชาติ ลืมไปว่าใช้ชีวิตได้เพราะอาศัยฟากฟ้าและธรรมชาติ การเรียกร้องความอยากของตัวเองได้เป็นเรื่องปกติ ทำให้มีการเผชิญ ทำลายสิ่งแวดล้อม และทำให้โลกมีความยากจนมากขึ้น มนุษย์ไม่เข้าใจเรื่องราวนี้ อันนี้คือเวทมนต์ความคิด “เห็นแก่ตัว” ของคนปัจจุบัน ถ้าปล่อยมนุษย์จากเวทมนต์นี้ ก็ทำให้โลกดีขึ้นไม่ได้แน่นอน
อัตตาที่ควบคุมไม่อยู่ คือสาระสำคัญระดับโลกที่มนุษย์เอามา
มนุษย์ได้ถึงเวลากลับสู่จุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตอีกครั้ง
ทำให้มุมมองกว้างขึ้นถึงจักรวาล ตอนนี้พวกเราดำรงชีวิตในจักรวาลอย่างแน่นอน ในจักรวาล ทุกอย่างล่ามโซ่กัน หมุนเวียนกัน และกลมกลืนกันอยู่ ตามกฎของจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้ มีกาแล็กซี ในกาแล็กซีมีระบบสุริยะ ในระบบสุริยะมีโลก แล้วในระบบนิเวศยิ่งใหญ่ที่ประณีตและงดงามที่ได้แสดงบนโลก ให้พวกเรามนุษย์ได้มีชีวิตอยู่ ถ้าหากกฏของจักรวาลเกิดความผิดพลาด ไม่ได้ทำให้สมดุลแบบปัจจุบัน พวกเราก็จะไม่ได้มีชีวิตอยู่ทันทีแน่นอน สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตรวมมนุษย์ ได้ดำรงชีวิตตามกฎของจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้ การดำรงชีวิตตามกฎหลักนี้ คือ สิ่งที่กำเนิดให้สำหรับสิ่งมีชีวิต
คนปัจจุบันหลงใหลกับสิ่งที่มีรูปร่างอยู่หน้าตัวเอง เช่น เงินและสิ่งของ สติทางวัตถุได้แข็งแกร่งมากๆ เพราะฉะนั้น จะแก้ไขปัญหาตามวิธีที่ปรากฏการณ์ทางวัตถุได้ผลได้รับทางวัตถุ เช่น ถ้าสิ่งแวดล้อมมีปัญหาก็พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่จะแก้ไขปัญหานั้น ถ้ามีการขัดแย้งก็จะเจรจากันเพื่อประสานผลประโยชน์แต่ละฝ่าย แต่แก่นแท้ของจักรวาลไม่ใช่ทางวัตถุแต่ทางจิต จุดเหตุของปรากฏการณ์ทั้งหมดมีจิตวิญญาณ สิ่งนั้นเป็นพื้นฐาน ก็เลยโลกทางวัตถุนี้ได้เป็นสมดุลกัน ถ้าเข้าใจสิ่งนี้ ก็จะได้เข้าใจด้วยว่าทัศนคติลึกๆของมนุษย์ปัจจุบันโน้มเอียงทางวัตถุมากเกินไป แล้วปัจจุบัน การโน้มเอียงนั้นทำให้มีความขัดแย้ง แล้วทำให้มีปรากฏการณ์ต่างๆ ก่อนที่จะแก้ไขโดยการปฏิบัติทางวัตถุ ควรยอมรับและแก้ไขความผิดพลาดทางจิตของตัวเองก่อน ได้กลับคืนแก่นแท้ของจักรวาล แล้วปรากฏการณ์ทางวัตถุจะราบรื่นมากและได้แก้ไขความขัดแย้งโดยธรรมชาติ เพราะแก่นแท้ของจักรวาลสร้างด้วยความเมตตา ความรัก และความกลมกลืนกัน
คนปัจจุบันคิดว่าโลกได้บริหารโดยมนุษย์เราที่ดำรงอยู่บนโลกใบนี้ตามเจตจำนงของตัวเองบนโลกใบนี้ แต่ความเป็นจริง โลกได้ถูกสร้างมาด้วยความเป็นเอกฉันท์ของจักรวาลในอดีตอันมีมาแต่เนิ่นนานอย่างยาวไกล ก่อนมนุษย์ได้กำเนิดมาในปัจจุบัน ที่ได้ผ่านการพัฒนาอย่างยาวนาน การทำงานทางจิตของจักรวาลก็ยังได้นำไปเรื่อยๆ แต่สำหรับคนปัจจุบันที่มองโลกโดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง คงเข้าใจไม่ได้ แต่ปัจจุบันที่ได้เป็นยุคที่เข้าศตวรรษที่ 21 มนุษย์เราอยู่บนทางแยกใหญ่ระหว่างโดนกำจัดโดยใช้วิถีชีวิตแบบเดิมฯ เห็นแก่ตัวเหมือนศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมา หรือมุมสู่ศตวรรษที่ 30 มีพื้นฐานการยอมรับเป็นคนของจักรวาลและก้าวหน้าสหัสวรรษใหม่เพื่อพัฒนาต่อยุคต่อไป
หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม การใช้ชีวิตของมนุษย์ได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ก็เป็นยุคที่ทดลองความสามารถด้วยว่าความสามารถของมนุษย์ได้พัฒนาแค่ไหน ธรรมชาติยอมรับการปฏิบัติของมนุษย์แบบนั้น แต่ไม่ได้ยอมรับว่าต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน ตามหาความอยากของตัวเอง และรบกวนระเบียบทั้งหมด เป็นระยะเวลาที่มนุษย์ศึกษาจากการปฏิบัติของตัวเองว่าถ้าทำแบบนั้นจะเป็นอย่างไร ถ้าแก้ไขสถานการณ์ที่การปฏิบัติของมนุษย์ทำให้สภาพโลกเป็นแบบนี้ พวกเราต้องเข้าใจว่าตัวแทนของมนุษย์คือตัวตนเอง อันนี้ไม่ใช้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นอัตตาที่ควบคุมไม่อยู่ ซึ่งเป็นสาระสำคัญร่วมกันของมนุษย์
วิธีแก้ไขปัญหานั้น คือไม่ใช่การสร้างระบบและกลไก ที่ผ่านมา เพื่อแก้ไขปัญหาระบบทุนนิยม มนุษย์สร้างระบบใหม่ ที่เรียกว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่คนที่สนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นอุดมการณ์ มันใจกับกลไกมากเกินไป ไม่ได้แก้ไขปัญหาระบบทุนนิยม นอกจากนั้นยังสร้างสังคมที่ไม่มีบุคลิกภาพโดยระบบบริหารมนุษย์ อุดมการณ์นั้นได้เป็นแค่ชื่อ ถึงแม้ว่าคิดระบบใหม่แค่ไหน พยายามทำให้โลกดีขึ้น ถ้าไม่แก้ไขจิตใจที่อยู่จุดเหตุที่สร้างปัญหา สิ่งนั้นคือแค่แกล้งทำให้ดีขึ้นเฉยๆ
ถ้าอย่างนั้น ตอนทบทวนและแก้ไขสาเหตุหลัก ซึ่งเป็นจิตใจของตนเอง พวกเราควรจะมุ่งความคิดไปที่ไหน พวกเราควรใส่ใจกับระบบชีวิตของโลกใบนี้ ซึ่งก่อนที่พวกเราได้มาอยู่ มีระบบนิเวศ มีโลก มีระบบสุริยะ มีกาแล็กซี และมีจักรวาล พวกเราได้อยู่ตามลำดับยิ่งใหญ่ ตอนนั้น สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับคนปัจจุบัน คือทิ้งมุมมองที่วางตัวเองเป็นหลักและมองโลก และมองเรื่องต่างๆ จากมุมมองของโลกที่ทำให้ตัวเองมีชีวิต มนุษย์ที่ดำรงชีวิตตามความคิดตัวเองที่เกิดมาจากอัตตา ข้ามอัตตาตัวเอง และเปลี่ยนทิศทางสร้างโลกใบนี้กับเจตจำนงของโลกกว้างใหญ่ สิ่งนี้คือการเปลี่ยนทิศทางที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ ก็คือการแก้ไขวงโคจร มุมมองนี้ทำให้พวกเรา มนุษย์ ได้รู้ความหมายแท้ที่มนุษย์เกิดบนโลกใบนี้
เรียน มนุษย์ทุกคน ที่ดำรงชีวิตอยู่ศตวรรษที่ 21 แต่ละคน
ยุคเข้าศตวรรษที่ 21 แล้ว พวกเราได้ถึงเวลาจุดเปลี่ยนยิ่งใหญ่ของเรื่องราวยาวที่ได้แสดงบนโลกใบนี้ สหัสวรรษที่กำลังจะเริ่มและไปถึงปี 3,000 ไม่ได้ต่อเส้นทางการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ของศตวรรษที่ 20 ได้ถึงเวลาแก้ไขการปฏิบัติโหดร้ายที่ทำให้มีการพัฒนาแบบนั้น และเปลี่ยนทัศนคติต่อธรรมชาติ
โลกเริ่มทำลายความขัดแย้งที่มนุษย์สะสมบนดวงดาวนี้ มนุษย์ต้องการพลังงานเยอะ เพื่อแก้ไขวิถีชีวิตที่ผ่านมาและเปลี่ยนทิศทาง ถ้าได้รับพลังงานจากความหายนะ ต้องเจ็บปวดมาก แต่มนุษย์เราที่ได้รับความสามารถสูงสุดในสิ่งมีชีวิต ต้องแก้ไขด้วยความเจ็บปวดแบบนี้หรือไม่
การปฏิวัติทัศนคติในการดำรงชีวิต
มีมนุษย์ที่ทำลายโลกใบนี้เยอะแค่ไหน โลกแห่งธรรมชาติภายใต้วงเวียนของจักรวาลยิ่งใหญ่ มีพลังที่ไม่ช้าก็เร็วซ่อมแซมการทำลายและกลับคืนเป็นโลกที่แข็งแรงเหมือนเดิม แต่ต้องใช้เวลานานมาก ก็เลยแทนเวลานั้น ต้องใช้ปัญญาของมนุษย์
ปัญญา คือสิ่งที่ซ่อนอยู่เป็นแก่นแท้ของชีวิตใน DNA ของพวกเราแต่ละคน และไหลออกมาจากนั้น ไม่ใช่ได้มาจากการเรียนรู้ ใน DNA ทางจิตของพวกเราที่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตในจักรวาลกว้างใหญ่ ข้อมูลตั้งแต่การเกิดถึงตายของจักรวาลนอนอยู่ในนั้น จะได้ข้อมูลอะไรออกมาบ้าง ข้อมูลเหมาะสมสำหรับยุคของคนนั้นเด้งขึ้นมาเอง ยุคปัจจุบันไร้สาระ ปัญญาที่แก้ไขความไร้สาระก็มีอยู่ในเรา ถ้าพวกเรามีจิตสำนึกถึงจุดนั้น ปัญญาที่นอนอยู่ข้างในจะไหลออกมา เพราะยุค (จักรวาล) เปลี่ยนทิศทางก้าวต่อไป
ตอนมนุษย์เราที่ดำรงชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้สับสนตามกระแสยุคและสร้างโลกด้วยกันตามเจตจำนงของแต่ละยุค ที่นั้นจะได้เป็นสวรรค์บนโลกที่แสดงเจตจำนงของจักรวาล สิ่งนั้นคือการปฏิวัติทัศนคติการดำรงชีวิตที่พลิกคว่ำความคิดของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาจากความอุดมสมบูรณ์หรือระบบที่ได้แค่มนุษย์ในระบบทุนนิยม หรือสัทธิคอมมิวนิสต์
เรียน คนที่มีอำนาจหรือร่ำรวยอยู่บนโลกใบนี้ ทุกท่าน
ขอกรุณาใช้ตำแหน่งสูงๆและความสามารถสุดยอดของท่านในการนำโลกใบนี้ทำให้แข็งแรงที่แท้จริง คุณค่าแท้ของมนุษย์อยูที่จิตวิญญาณ ได้รับการชื่นชมมากแค่ไหนในสังคมปัจจุบันทีไม่ซื่อสัตย์ ก็ไม่ได้เป็นคุณค่าแท้ของตัวเอง สุดท้ายวิญญาณแยกจากร่างกายและกลับไปสู่จักรวาล เพื่อที่จะเป็นคนที่มีคุณค่าแท้ ขอมีความกล้าที่จะนำสังคมไปทิศทางที่ถูกต้องตามเจตนาที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณและวัตถุกลับคืนปกติ จริงๆ คนที่เป็นผู้บริหารต้องใส่ใจในการคิดการกระทำถึงทั้งหมดร่วมระบบนิเวศชีวิตของโลกร่วมมนุษย์ ตัดสินใจและสร้างประเทศ (โลก) ถ้าทำแบบนี้ คนเก่ง ทุกท่านคงกลายเป็นคนที่มีล้ำค่า
การตื่นตัวเป็นวาทยกรเพลงซมโฟนีชีวิตของจักรวาล
โลกเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล อย่างแรกจักรวาลเริ่มมีสิ่งที่เป็นประกฎการณ์ก็เป็นความมหัศจรรย์ นี่คือข้อความจากเจตจำนงยิ่งใหญ่ ที่เจตจำนงมนุษย์สู้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น การเป็นอยู่ของดวงดาวนี้เป็นมหัศจรรย์สำหรับจักรวาลแน่นอน และนี่คือ “ชินปิ” (ชินแปลว่าเทพเจ้า และปิแปลว่าความลับ) ของจักรวาล “ชินปิ” นี้วางไว้อยู่ทั่วทุกมุมของชีวิตประจำวันของพวกเรา แต่คนปัจจุบันที่มีความคิดเชิงวัตถุทำให้เสียหาย เชื่อเรื่องนี้ไม่ได้ จริงๆ ความมหัศจรรย์อยู่ต่อหน้าตัวเอง แต่โง่มากจนไม่เข้าใจว่านี่คือสิ่งมหัศจรรย์ ก้าวแรกที่ทำให้ลบออกความขัดแย้งจากดวงดาวนี้และทำให้สวยขึ้น คือการเข้าใจความโง่นั้น และแสดง “ชินปิ” (ความลับของเทพเจ้า) ไม่ใช่เป็นความลับ แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นของชีวิตประจำวันของพวกเรา
ชีวิตที่เจริญรุ่งเรื่องมากที่สุดบนโลกใบนี้ในปัจจุบัน คือ มนุษย์ จริงๆ ชีวิตคือสิ่งที่ยิ่งจำนวนเยอะมากขึ้นแล้วยิ่งได้แสดงความอุดมสมบูรณ์ให้ชัดได้ ถ้าแก่นแท้ของจักรวาล คือความเมตตา ความรัก และความกลมกลืนกัน อยู่บนโลกที่แชร์กันกับสิ่งมีชีวิตหลายๆชีวิต แล้วจะได้แสดงโลกที่มีความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ที่เชื่อมต่อและช่วยเหลือกับหลายๆชีวิต แต่โลกที่คนปัจจุบันสร้างมา ยิ่งมีเยอะ ยิ่งมีความขัดแย้งอย่างไม่มีจำกัด พวกเราต้องเข้าใจสิ่งนี้
ถ้าได้ยินคำว่าสวรรค์บนโลก มนุษย์รู้สึกเหมือนว่าเป็นโลกที่วาดบนกระดาษและคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ปัจจุบัน ถ้าเปลี่ยนมุมมอง ก็ได้เห็นว่าสวรรค์บนโลกเข้ามาใกล้ขึ้น โดยเริ่มมีการทำลายความขัดแย้งที่มนุษย์สะสมมา และระบบสังคมที่มีอยู่เริ่มล้มเหลว ถ้าได้รู้สึกเจตจำนงที่ซ่อนอยู่ในข้อความที่โลกส่งมาผ่านปรากฏการณ์ต่างๆ ได้รู้ว่ากำลังจะใด้ดินแดนแห่งอุดมคติที่มนุษย์ฝันมาตั้งแต่ได้สร้างขึ้นมา แล้วจะได้จริงหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการตื่นตัวของพวกเราแต่ละคน
ตอนนี้พวกเราได้ถึงจุดเปลี่ยนระดับจักรวาลที่ใหญ่ที่สดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ต้องตัดสินใจว่ามนุษย์เราจะสร้างโลกแบบไหนต่อไปกับดวงดาวที่มีชีวิตในจักรวาลที่เรียกว่าโลก
โลกทัศน์ที่ตัวเองหรือมนุษย์เป็นศูนย์กลางที่มนุษย์ปัจจุบันติดอยู่ นอกจากทำให้พวกเรามีความขัดแย้งขนาดใหญ่ ยังสร้างเงาในความเจริญของสายพันธุ์พวกเราที่เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ ตอนนี้มนุษย์เราต้องรับข้อความจากความเป็นจริงนั้น เขาต้องการมนุษย์ที่เปลี่ยนการใช้ชีวิตที่ตัวเองเป็นหลัก และแสดงระบบนิเวศน์โลกที่งดงามกับพี่น้องสิ่งมีชีวิตซึ่งเป็นมหศจรรย์ของจักรวาลที่มีหลากหลาย ปัจจุบัน ผ่านมา 2,000 ปีแล้ว มุ่งสู่ปีที่ 3,000 ต้อนรับยุคจักรวาลใหม่ ภายใต้มุมมองจักรวาล พวกเราได้ถึงเวลาที่จะยืนเป็นวาทยกรเพลงซมโฟนีจักรวาลที่สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ของจักรวาลบรรเลง
เรียน ทุกท่าน ที่เป็นคนหนึ่งของมนุษย์
ถ้าหากในตัวคุณมีใจที่สะท้อนข้อความนี้ ขอกรุณาส่งต่อถึงทุกคนที่คุณเปิดใจได้ อย่างอิสระ ไม่จำกัดเขตประเทศและภาษา ขอกรุณาตื่นตัวกับเป้าหมายแท้จริงที่มนุษย์เกิดบนโลกใบนี้ เข้าใจล้ำค่าที่เป็นมนุษย์ และแสดงความเป็นเอกฉันท์ของจักรวาลบนโลกใบนี้ตามความเจตจำนงของคุณเอง แล้วขอกรุณาเป็นตัวนำที่ขยายเครือข่ายที่ทำให้โลกเกิดใหม่อีกครั้งเป็นดวงดาวใหม่ ข้อความนี้ เป็นตัวเสริมทำให้ทุกท่านที่เป็นคนหนึ่งของมนุษย์ที่ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ตื่นตัวในยุคปัจจุบันที่ทุกคนได้เป็นตัวนำ
หวังว่าจะได้เจอกับทุกท่านที่งดงามบนโลกที่ได้งดงาม